เปิดตัว 2 ทายาทหมื่นล้าน พร้อมคฤหาสน์หรู 500 ล้าน ของ ดร.ผ่องพรรณ นักธุรกิจหญิงแกร่ง เจ้าของแบรนด์ Go Hair
คอมเมนต์:
หากใครเข้าร้านทำผมหรือร้านเสริมสวยในประเทศไทย หลายคนคงคุ้นตากับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมขวดสีเขียว ที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ที่ข้างขวดว่า Go-Hair เรียกได้ว่ามักจะพบเจอทุกร้านเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าช่างทำผมหลายคนยังแนะนำให้ลูกค้าใช้กันเป็นประจำ รู้หรือไม่ แบรนด์นี้เกิดมาจากสองมือของเวิร์คกิ้งวูแมนหญิงเพียงคนเดียว
ดร.ผ่องพรรณ ไพพรรณรัตน์ คือผู้ก่อตั้งแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “Go-Hair” ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริษัท ไพพรรณรัตน์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ริเริ่มสินค้ามาจากความรักสวยรักงามส่วนตัว โดยเริ่มจากการเปิดสถานเสริมความงามชื่อ ผ่องพรรณบิวตี้เฮาส์
Sponsored Ad
ซึ่งในระหว่างที่ทำร้านเสริมสวยนั้น หนึ่งคำถามที่ลูกค้าชอบถามกันมากที่สุดคือ “แชมพูที่ถูกและดีมีหรือไม่ อยากได้” ในขณะนั้น ดร.ผ่องพรรณก็รับปากกับลูกค้าไป ประจวบเหมาะกับการได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง จึงทำให้ได้เห็นช่องทางในการทำธุรกิจเพิ่ม ด้วยการทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเริ่มพัฒนาสูตรที่ดีที่สุด โดยการให้คนรอบตัวทดสอบ เมื่อเห็นว่าทุกคนใช้แล้วเกิดผลดี เส้นผมนุ่มสลวยทันทีที่ใช้ จึงเกิดแบรนด์ Go-Hair ในปี พ.ศ.2546 ชื่อสั้นๆ เน้นจำง่าย พร้อมความหมายที่แปลว่าก้าวไปกับผม มีผลิตภัณฑ์เริ่มต้นเป็นแชมพู ครีมนวดผม ทรีตเมนต์ จวบจนทุกวันนี้ 18 ปี แบรนด์ Go-Hair มีผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมด 20 ตัว
Sponsored Ad
วันนี้จะพาทุกท่านไปชม คฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรป มูลค่า 500 ล้าน บนเนื้อที่ 4 ไร่เศษหลังงาม ของ ดร.ผ่องพรรณ นักธุรกิจหญิงแกร่ง โดยสถาปนิกออกแบบให้ตัวบ้านวางตัวในแบบพระจันทร์ครึ่งดวง เสี้ยวหนึ่งของวงเดือนเป็นสระว่ายน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ปูกระเบื้องสีน้ำทะเลล้อแดดเป็นประกายวาววับ โดยมีทางเดินเชื่อมจากคฤหาสน์ผ่านสวนหย่อมเล็กๆบริเวณกึ่งกลาง
Sponsored Ad
คฤหาสน์สองชั้นหลังงามที่เพิ่งตกแต่งเสร็จหมาดๆประกอบด้วยห้องสวีทหรูหราตระการตาครบครันด้วยห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและห้องแต่งตัวในแต่ละสวีท เพื่อความเป็นส่วนตัวของสมาชิกครอบครัว ที่ประกอบด้วย ‘พ.ต.อ.ดร.ไพรัตน์’ ผู้เป็นพ่อขณะนี้เป็นรองผู้การวิทยาลัยการตำรวจ กรุงเทพฯ ‘ดร.ผ่องพรรณ’ ผู้เป็นแม่ และ ‘นิธิชัย’(หรือไตเติ้ลของเพื่อนๆ) กับ ‘ศุภโชค’(หรือโต๊ด) ไพพรรณรัตน์ ลูกชายทั้งสอง ... ความหรูหราเลอค่าแบบคลาสสิกทั้งเฟอร์นิเจอร์และแชนเดอเลียร์สั่งทำจากอิตาลีทั้งหมด เพราะต้องการความสวยงามยิ่งใหญ่อลังการแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยงบประมาณเกือบ 500 ล้านบาทในการเนรมิตคฤหาสน์แห่งนี้ให้มีความสวยงามลงตัวตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของบ้าน
Sponsored Ad
“เหตุที่มันบานปลายเพราะตอนที่เห็นแบบในกระดาษเราคิดว่าครัวไซส์นี้ก็น่าจะพอ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันมีโน่นมีนี่เพิ่มก็ต้องขยาย ซินแสบอกว่าห้องน้ำอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ก็ทำใหม่ ซินแสคนนี้เป็นคนจีนอยู่ที่สุพรรณเคยดูฤกษ์ให้ตอนแต่งงาน ตอนแรกจะซื้อแปลงเล็กกว่านี้ 3 ไร่กว่า แต่ซินแสดูแล้วบอกว่าไม่เหมาะกับใครเลยก็เลยมาดูแปลงนี้ เราคิดว่าใหญ่ไปอยู่กันแค่ห้าคน แต่แกบอกว่าต้องแปลงนี้ๆเป็นของลื้อ ถ้าอยู่ตรงนี้ไม่ใช่แค่พันล้านนะเป็นหมื่นล้าน ก็เลยตัดสินใจซื้อ” ดร.ผ่องพรรณพูดพลางหัวเราะเบาๆ และเมื่อไม่นานมานี้เธอได้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราช และพระเกจิอาจารย์จากวัดชื่อดังมาร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว
Sponsored Ad
จากสาวสุพรรณสู่เมืองหลวง ด้วยฐานะทางบ้านที่เรียกว่าพอมีเหลือใช้ และในฐานะลูกสาวคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 7 คนของคนดังประจำท้องถิ่นทำให้ สาวสวยอย่าง ดร.ผ่องพรรณมีความเป็นผู้นำ ติดจะเฮ้วนิดๆ ห้าวหน่อยๆ แถมสมัยเรียนยังเรียกได้ว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงอีกด้วย ชีวิตพลิกผันเมื่อคุณพ่อก็ส่งไปเรียนที่ชิคาโก จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงปีสองแต่ด้วยความที่ญาติที่อยู่ด้วยกันเขาไม่ค่อยอยู่บ้านเพื่อนคนไทยก็ไม่ค่อยมี รู้สึกเหงา คิดถึงบ้านสุดท้ายเลยกลับมาเรียนรัฐศาสตร์ที่รามฯจนจบ
Sponsored Ad
พอหลังจากเรียนจบเริ่มทำงานได้ไม่ถึง 1 ปีก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับ Manager “การทำงานช่วงแรกไม่ราบรื่นนัก แต่ด้วยความที่เป็นคนขยันทำให้เราต้องเรียนรู้เอาเอง แนะนำตัวเองตามแผนกโน้นแผนกนี้ โดยมีความตั้งใจเลยว่าจะต้องรู้งานให้หมดภายในอาทิตย์เดียว ใช้วิธีจดคำพูดที่พี่ๆเซลส์ที่นั่งข้างๆเขาพูดกับลูกค้าแล้วก็เอาไปลองใช้ดู พอถึงเวลาที่ต้องเทรนเด็กจบใหม่ก็สอนแบบไม่กั๊กเลย สอนหมด ขายงานแต่งงาน งานสัมมนา งานประชุม ไม่มีหลุดเลย จนเพื่อนบอกว่าไม่กลัวโดนเลื่อยขาเก้าอี้เหรอ”
Sponsored Ad
และด้วยพิษเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจซบเซา แต่ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่ดร.ผ่องพรรณเข้ามาช่วยเหลือบริษัทอสังหาฯของเพื่อนเก่าสมัยเรียนเธอสามารถทำยอดขายถล่มทลายถึง 100 กว่าล้านบาท แถมยังเป็นช่วง พ ฤ ษ ภ า ท มิ ฬ เ สี ย ด้วย
เธอมีเทคนิคอะไรหรือ ดร.ผ่องพรรณยิ้มบางๆก่อนจะตอบว่า “ก็ใช้เทคนิคการเจรจาอาจจะลดแลกแจกแถมบ้างที่ทำได้คงเพราะเราชอบค้าขายตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เราต้องให้ความจริงใจกับลูกค้า และเรามีจุดเด่นอะไรงัดออกมาใช้ ตอนนั้นจะมีทางด่วนมาตัด เราก็โฆษณาว่าใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเลยทำให้ขายดี”
ระหว่างนั้นด้วยความเมตตาของคุณแม่เพื่อนที่เธอเรียกด้วยความเคารพว่าหม่าม้า เห็นว่าเธอสนใจทำธุรกิจความงาม จึงให้เช่าตึก และเธอก็ไม่ปฏิเสธความเมตตานั้น “หม่าม้าคงเห็นว่าเรารักสวยรักงามก็เลยบอกว่ามีตึกหลังหนึ่งยึดมา ทำเลดีผ่องสนใจไหม หม่าม้าจะให้เช่าก็เลยเช่า และท่านก็มาทำพิธีเปิดให้เอง เปิดเป็นสถานเสริมความงามชื่อผ่องพรรณบิวตี้เฮาส์ ทั้งที่ระหว่างนั้นก็ยังทำงานกับท่านอยู่นะ แต่เชื่อไหมว่าไม่เคยเอาเวลางานมาใช้กับร้านเลย
ในขณะที่โหมงานอย่างหนัก ด้วยบุพเพสันนิวาสจึงดลบันดาลให้เธอพบรักกับนายตำรวจหนุ่มที่สุพรรณบุรีบ้านเกิด เพราะบังเอิญรถที่เธอขับไปนั้นเสียกลางทาง “พอดีเพื่อนชวนไปหาช่างทำผม ก็เลยไปสุพรรณด้วยกัน แล้วพอดีรถที่ขับไปเสีย มีตำรวจมาช่วยเหมือนในหนังเลย (หัวเราะเบาๆ) ก็เป็นที่มาของการเจอกัน ตอนนั้นเราอายุ 30 แล้ว ก็มีคนมาชอบ แต่คนที่มาจีบมักจะคิดว่าเรามีแฟนแล้วบ้าง ไม่กล้า
แต่คุณตำรวจคนนี้กล้าจีบ เขาตัวเล็กก็จริงนะคะ แต่มีความเป็นผู้นำ ตอนนั้นเขายศร้อยโท ตอนแรกก็ไม่ชอบ เพราะเขาตัวเล็ก เราตัวสูงใหญ่ เราชอบแต่งตัว เขาไม่แต่งตัว ทำให้ดูไปคนละทิศละทาง แล้วภาพลักษณ์ของตำรวจสมัยนั้นก็ไม่ค่อยสวย บางทีก็เจ้าชู้ เราเลยไม่ชอบ แต่คงเป็นบุพเพมั้งคะ” เจ้าตัวพูดพลางยิ้ม หลังจากคบกันประมาณปีเศษๆ เธอจึงเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต และสวมบทบาทหลังบ้านตำรวจด้วยความเต็มใจ
“หลังแต่งงานก็ลาออกมาเป็นแม่บ้านลูกชายทั้งสองคน คนโตชื่อไตเติ้ล คนน้องชื่อโต๊ด อายุห่างกันปีเดียว จนเติ้ลเข้าป.1 แล้วโต๊ดเรียนอนุบาล 3 ถึงได้เอาเขาเข้าโรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญ ศรีราชาแต่เพราะตอนนั้นเราจะทำธุรกิจ ก็เลยต้องกัดฟันทน สงสารลูกมากน้ำตาไหล ตอนเด็กๆลูกก็ถามอยู่เรื่อยด้วยความน้อยใจว่า ทำไมต้องให้เขาเข้าโรงเรียนประจำ แต่มาเดี๋ยวนี้เขาโตขึ้นถึงได้เข้าใจ เพราะมันทำให้เขามีความเป็นระเบียบ และช่วยเหลือตัวเองได้หลายๆเรื่อง”
จังหวะโชคชะตาพลิกผัน ระหว่างที่สวมบทแม่บ้าน ดร.ผ่องพรรณก็ยังไม่อยู่เฉย เธอได้ลองขายจิวเวลรี่อยู่พักหนึ่ง “ตอนเราทำร้านเสริมสวยชอบมีลูกค้ามาถามว่าแชมพูที่ถูกและดีมีไหม ทีนี้พอดีไปต่างประเทศได้ไปเห็นสินค้าพวกนี้เราก็เห็นช่องทางว่าควรทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม บังเอิญญาติที่เดินทางบ่อยๆมาแนะนำว่าสูตรนี้ดีนะ ต้องซื้อวัตถุดิบจากไหนผสมแล้วก็ให้คนนั้นเทสต์คนนี้เทสต์ ปรากฏว่าให้ใครใช้เขาก็ว่าดี เส้นผมนุ่มสลวยทันทีที่ใช้”
ช่วงแรกของการขายเธอยังคงผสมเอง บรรจุขวดไปขายด้วยตัวเอง โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์สั้นๆง่ายๆว่า Go Hair “เลือกชื่อนี้เพราะจำง่าย เรียกง่าย Go Hair แปลว่าก้าวไปกับผม มีทั้งแชมพู ครีมนวด ทรีทเมนต์ บำรุงผมมีหมด แต่ไม่มีสเปรย์ ซึ่งเราดังทางบำรุงผม”
ในตอนนั้นคือปี 2546 เธอเลือกที่จะขายโดยใช้กลยุทธแบบป่าล้อมเมือง “ช่วงแรกๆออกต่างจังหวัดทีละภาคเลย ขนผลิตภัณฑ์ไปเป็นรถตู้พร้อมกับทีมงานแล้วขายเงินสด นี่เป็นจุดหนึ่งที่เราพูดจนทุกวันนี้ว่าเราไม่ฝากขาย ไม่ให้เครดิตแต่ซื้อเยอะเราแถม ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพราะไม่คิดว่าสินค้าจะได้รับการต้อนรับจากมหาชนแบบล้นหลามชนิดเกินความคาดหมายขนาดนี้ และยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคประเทศเพื่อนบ้าน แถมยังถูกลอกเลียนแบบ ดร.ผ่องพรรณยังเสริมอีกด้วยว่า “เรามีวันนี้ได้เพราะมีความเพียร ความมานะ และความจริงใจ เป็นหลักของชีวิต”
ปัจจุบันนอกจาก ดร.ผ่องพรรณจะเป็นผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว ยังเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของกรรมการสิทธิมนุษยชน ส่วนสามีซึ่งแต่งเพลงให้กับนักร้องลูกทุ่งชื่อดังมากมายหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นยอดรัก สลักใจผู้ล่วงลับ หรือสุนารี ราชสีมา และอีกหลายต่อหลายคน และยังนำเงินรายได้จากการขายลิขสิทธิ์เพลงไปช่วยเหลือเพื่อนตำรวจด้วยกัน
อย่างไรก็ดีขณะนี้ดร.ผ่องพรรณก็ยังไม่หยุดเรียนรู้ เธอยังคงสมัครเรียนหลักสูตรต่างๆเพื่อขยายมุมมองของตนเองให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ล่าสุดเธอเข้าเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)อีกแห่งด้วย และตรงนี้ทำให้เธอเป็นที่รู้จักของคนในวงสังคมมากขึ้น
ล่าสุด ดร.ผ่องพรรณ ได้ส่งไม้ต่อให้ นิธิชัย ไพพรรณรัตน์ ทายาทคนโต ให้มาช่วยเป็นแขนขา ขับเคลื่อนธุรกิจของทางบ้านให้เติบโตและกว้างไกลมากยิ่งขึ้น และเมื่อเข้ามาต่อยอดงานของแม่ ตนจึงได้ขยายไลน์ธุรกิจจากผลิตภัณฑ์ผม Go Hair มาสู่ผลิตภัณฑ์ บำรุงผม Tosee’ by Go hair ตอบ โจทย์ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องผมและหนังศีรษะของแต่ละคนทั้งชายและหญิง
ทั้งนี้ นิธิชัย ไพพรรณรัต ได้เปิดใจว่า "ผมและน้องชาย (ศุภโชค ไพพรรณรัตน์) เราก็ได้เข้ามาช่วยทำ Tosee’ ซึ่งมาจากชื่อน้องชาย โต๊ด ที่จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่เราจะมีสินค้าพรีเมียมทั้งตัว ศีรษะจดเท้า โดยผมและน้องชายก็มาช่วยดูตลาดใหม่ๆในยุคนี้
ซึ่งเราต้องทำทั้งออนไลน์, ออฟ ไลน์ รวมทั้งโรดโชว์แบบเดิมด้วย ซึ่งการทำงานผมจะไม่ชอบทำงานคนเดียว จะเน้นทำงานเป็นทีม ผมชอบที่จะให้พนักงานทุกคนได้แสดงความสามารถ เสนอไอเดีย ที่ผ่านมางานแม้จะไม่หนักมาก แต่เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะเราต้องทำตลาดทั้ง 2 แบรนด์ แล้วต้องลงรายละเอียด มองในเรื่องกลยุทธ์ให้ขาด"
ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับหญิงแกร่งคนนี้ ที่เธออดทนฝ่าฟัน สร้างอาณาจักรทางธุรกิจด้วยสองมือของเธอเอง แถมทำหน้าที่แม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ได้ดีเจริญรอยตามแม่อีกด้วย
ที่มา : hellomagazine, howemagazine