เด็กน้อยผู้ระลึกชาติได้! "ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์" ฟังคลิปนี้แล้ว คุณจะทำบุญมากขึ้น!

คอมเมนต์:

ฟังคลิปนี้แล้ว คุณจะเชื่อในบาปบุญมากขึ้น "ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์" เด็กน้อยผู้ระลึกชาติได้!

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม 

        หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับที่ 7423 วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติรายใหม่ อายุเพียง 3 ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูก 4 คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนเหมือนเป็นคนเดียวกัน เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก 3 ขวบทักทายว่า จำได้ไหม? แล้วเล่าความหลังให้ฟัง

 

Sponsored Ad

 

        ผู้ที่จำอดีตชาติได้รายนี้ คือ นายชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ ซึ่งขณะที่นักข่าวไทยรัฐไปสัมภาษณ์เมื่อปีพ.ศ. 2521 ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กอายุได้เพียง 10 ขวบ เป็นบุตรของนายคำรณ(เบิ้ม)และนางสมคิด ชูมาลัยวงศ์ อยู่บ้านเลขที่ 189 หมู่ 1 กิ่งอำเภอวังทรายพูน จ.พิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อมีอาชีพเป็นช่างตัดผม ส่วนแม่เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า และเมื่อปี พ.ศ.2521 พวกเขาได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ ฯ พักอยู่ที่ บ้านเลขที่ 20 ซ.โลหิตสุข ถ.ดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

 

Sponsored Ad

 

        แต่ ด.ช.ชนัย ขณะนั้นอาศัยอยู่กับยายที่พิจิตร ชื่อ นางพรม เบ็ญทอง อายุ 79 ปี พักอยู่ที่ 608 หมู่ 1 ต.พับคล้อ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ซึ่งขณะที่นักข่าวไทยรัฐไปสัมภาษณ์เมื่อปี พ.ศ. 2521 ตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ร.ร. วัดเขาทราย อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

        นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า ที่ตัวเองได้รู้ว่า ด.ช.ชนัย ระลึกชาติได้ ก็เพราะ ด.ช.ชนัย ได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ตนฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครู ชื่อ บัวไข หล่อนาค สอนประจำอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ ต.บางหว้า อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร จากนั้น ด.ช.ชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมีพ่อชื่อ นายเขียน แม่ชื่อ นางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อ นางสวน มีลูกกับนางสวน 5 คนด้วยกันเป็นหญิง 3 ชาย 2 คนโตชื่อ น.ส.บรรจง หรือ "ติ่ม" คนที่ 2 ชื่อ น.ส.เบญจา หรือ "ต๋อย" ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่ 3 ชื่อ นายณรงค์ คนที่ 4 ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น.ส.น้ำค้าง

 

Sponsored Ad

 

        ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือ นายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อน ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาในชาติก่อน คือ นางสวนได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ น.ส. น้ำค้าง ได้ 3 เดือน นายบัวไขได้ขี่รถจักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก ฝ่ายผู้เป็นยายคือนางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชายวัย 3 ขวบ ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 

Sponsored Ad

 

        อยู่มาวันหนึ่ง ด.ช.ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจาก ต.ทับคล้อ อ.ตะพานหิน ไปที่ อ.เมือง จ.พิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนางสวน ภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันและเล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของนางสวน เชื่อสนิทว่า ด.ช.ชนัย คือ นายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้ ด.ช.ชนัย ยังสอบถามนางสวนว่า ของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด.ช.ชนัย หมายถึง ปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงกับตะลึง เมื่อ ด.ช.ชนัย ได้พบหน้ากับ จ.ส.ต.สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส.ภ.อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเดิม จ.ส.อ.สนาน เป็นเพื่อนสนิทของนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด.ช.ชนัย ก็เอ่ยปากทักว่า "เฮ้ย หนาน ยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไขเพื่อนเก่าของนายไงล่ะ" จ.ส.อ. สนาน ถึงกับตะลึงงันไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่า เด็กอายุ 3 ขวบ จะเป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน ด.ช.ชนัย ก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด.ช.ชนัย ก็บอกว่า ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม ซึ่งทุกคนยอมรับว่า นายบัวไขเมื่อชาติก่อนชอบอาหารเช่นนั้นจริงๆ และแม้แต่ในชาตินี้ ด.ช.ชนัย ก็ยังชอบอาหารชนิดนี้ นอกจากนี้ จ.ส.อ. สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของนางสวนทุกคน รวมทั้งลูกๆ ทุกคน ของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า ด.ช.ชนัย ผู้นี้คือพ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด.ช.ชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม

 

Sponsored Ad

 

        ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด.ช.ชนัย ซึ่งขณะนั้น อายุ 10 ขวบ ในทำนองกระเซ้าว่า ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด.ช.ชนัย จะว่าอย่างไร ด.ช.ชนัย ไม่ตอบ แต่แสดงอาการหึงหวงเห็นได้ชัดและไม่พอใจต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้

        หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับ วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 ได้ลงข่าวว่าต่อเนื่องเป็นวันที่สองความว่า ผู้สื่อข่าวจากจังหวัดพิจิตรได้รายงานข่าวคืบหน้าต่อจากเมื่อวานว่า ครั้งแรกที่ นางพรหม พา ด.ช.ชนัย ไปหา นายเขียน นางยอง(พ่อแม่ของครูบัวไข) ซึ่งขณะนั้นอายุ 80 ปีเศษแล้ว ด.ช.ชนัย เมื่อเห็นก็ก้มลงกราบทันทีพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นลูก ชื่อ บัวไข เป็นครูใหญ่อยู่ที่ โรงเรียนท่าบ่อ ต.บางหว้า และได้บอกชื่อครูน้อยที่ร่วมสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันได้ถูกต้องหมดทุกคน ทำให้นายเขียนและนางยองตกใจมาก นอกจากนี้ ด.ช.ชนัย ยังได้ชี้ให้ดูรูปถ่ายของครอบครัวที่ติดไว้บนบ้าน โดยชี้ได้อย่างถูกต้องว่า ตัวเองเป็นลูกชายคนโตและบอกชื่อน้องๆได้ถูกต้องอีก ได้ถามหากระเป๋าใส่ยาซึ่งในชาติก่อนนั้น ครูบัวไขได้ถือไปโรงเรียนทุกวัน ภายในกระเป๋าดังกล่าวจะมียาชนิดต่างๆบรรจุอยู่ไว้สำหรับช่วยเหลือนักเรียนที่เจ็บป่วย รวมทั้งถามหาถึงปืนพกสองกระบอกว่ายังอยู่หรือเปล่า ซึ่งนายเขียนและนางยองยืนยันว่ามีจริง นอกจากนี้เขายังได้ถามหาพระเครื่องที่ใช้แขวนคอเป็นประจำ และยังได้ชี้ถึงตำแหน่งและสถานที่ของสิ่งของในอดีตของครูบัวไขอีกหลายอย่างได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายเขียนและนางยอง เชื่อสนิทว่า ด.ช.ชนัย นั้นคือครูบัวไขกลับชาติมาเกิด

 

Sponsored Ad

 


        เมื่อนางพรหมผู้เป็นยายได้พา ด.ช.ชนัย ไปพบกับ นางสวน ภรรยาของครูบัวไขนั้น เมื่อพบหน้ากัน ด.ช.ชนัยก็เรียกนางสวนว่า "แม่วิชัย" ซึ่งเป็นคำที่เมื่อก่อนครูบัวไขเรียกนางสวนติดปากเป็นประจำได้อย่าถูกต้อง ขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่นั้น ลูกสาวคนที่สองของนางสวนคือ น.ส.เบญจา หรือ "ต๋อย" เดินขึ้นบ้านมาพอดี ด.ช.ชนัย เห็นก็เรียกบอกว่า "ลูกเข้ามาหาพ่อหน่อย" จากนั้นได้ขอดูพระเครื่องที่แขวนคอ น.ส.เบญจา อยู่และได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนม ซึ่งลูกๆของนางสวนรวมทั้งตัวของนางสวนเองก็มีความเชื่อสนิทใจว่า ด.ช.ชนัย นั้นคือ ครูบัวไข กลับชาติมาเกิด

Sponsored Ad

        ผู้สื่อข่าวได้รายงานต่อมาอีกด้วยว่า นางพรหมซึ่งเป็นยายของ ด.ช.ชนัย ผู้นี้เป็นผู้มีฐานะดีผู้หนึ่ง เป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงเป็ด เมื่อเวลาที่นางพรหมให้สตางค์ ด.ช.ชนัย ไปโรงเรียนเป็นค่าขนมนั้น ด.ช.ชนัยจะเก็บเอาไว้ เมื่อรวบรวมได้มากๆแล้วก็จะนำไปให้ลูกๆของนางสวนใช้ และ ด.ช.ชนัย ก็ยังคงไปมาหาสู่ครอบครัวของนางสวนเป็นประจำ ซึ่งทุกคนเชื่อสนิทใจว่า ด.ช.ชนัย ผู้นี้คือ ครูบัวไข หล่อนาค กลับชาติมาเกิด

        เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.อ.เยื้อง คชภักดี แห่งโรงพยาบาลพระมงกุฏ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความสนใจค้นคว้าเรื่องระลึกชาติและติดตามร่วมกับ ท.เลียงพิบูลย์ มาเป็นเวลานาน ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้มีทางเป็นไปได้ โดยยกตัวอย่างจากการที่ได้ติดตามพิสูจน์มาแล้ว เช่น ที่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ (กรณีของ ด.ช.บงกช พรหมศิลปในขณะนั้น) ผู้ที่กลับชาติมาเกิดในชาตินี้มีแผลเป็นรอยถูกแทงและได้ยืนยันว่า ในอดีตได้ถูกแทงตาย หรืออีกรายหนึ่งหลังจากเสียชีวิตแล้ว ญาติได้เอาดินหม้อทาที่ศพไว้ เมื่อมาเกิดในชาตินี้ จึงมีรอยปานดำตรงตามที่ทำตำหนิไว้ อย่างไรก็ตาม พ.อ.เยื้อง คชภักดี บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ในรายของ ด.ช.ชนัย นี้หาก ดร.เอียน สตีเวนสัน ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการจำอดีตชาติได้โดยเฉพาะทราบเรื่อง ก็อาจจะไปทำการพิสูจน์ให้ปรากฏออกมาได้

        นี่คือข้อความจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่นำเสนอเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ ของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เมื่อปี พ.ศ.2521 หลังจากที่ข่าวการจำอดีตชาติได้ของ ด.ช.ชนัย ถูกเผยแพร่ออกไปต่อมาก็ได้มีผู้สนใจไปติดตามสอบถามเรื่องนี้กันมากมายหลายท่าน มีท่านหนึ่งคือ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์ ซึ่งท่านได้ติดตามสอบสวนสัมภาษณ์ผู้ที่จำอดีตชาติได้มาแล้วหลายราย ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ด.ช.ชนัย ครอบครัว และผู้เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์เพิ่มเติมดังนี้


        คุณประสิทธิ์ ได้เล่าไว้ว่า ตอนที่นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้พา ด.ช.ชนัย ไปพบกับพ่อแม่ในชาติก่อน ด.ช.ชนัย เป็นผู้บอกนำทางไปเอง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่ไปอีกไกลกว่าจะถึงบ้านของพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้านซึ่งมีคนมานั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็กๆ ด.ช.ชนัย ก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่ง และหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ พูดว่า “พ่อครับ แม่ครับ ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อคิดถึงแม่มาก” ชายหญิงมีอายุทั้งสองที่เด็กอ้างว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน ก็ตะลึงงงและสงสัย เพราะจู่ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบ แล้วร้องไห้เรียก พ่อ แม่ ทั้งที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคน ทำไมเด็กอายุแค่นั้น (3 ขวบ) จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อ เป็นแม่มาแต่ชาติก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไข ลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็นแผลเป็นเหมือนครูบัวไข ลูกชาย ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ

รอยแผลเป็นบริเวณท้ายทอย(ตรงกับรอยกระสุนเข้า)

ภาพรอยแผลเป็นข้างศีรษะใกล้หน้าผาก(ตรงกับรอยกระสุนออก)ของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์

        และตอนที่ยายได้พา ด.ช.ชนัย ไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่า คนแก่ พ่อแม่ นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่า ชื่ออะไร ด.ช.ชนัย ก็หันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า "ชื่อสวนนะซิ" เสียงพึมพำเกิดขึ้น ต่างก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง ต่อมาแม่เขาก็นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า "อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ยังจำได้ไหม หยิบให้แม่ดูซิ"

        เด็กก็หยิบดูแล้วว่า "นี่ก็เป็นของผม นี้ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม" เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้านแล้วก็ชี้ว่า "ตรงนี้ของๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ? ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน ? หนังสือของผมอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด" เมียในชาติก่อนเขาก็บอกว่า "เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป" เมื่อ ด.ช. ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า "เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ" ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า "แล้วอะไรของลูกนี่นึกออกว่ายังมีอะไรบ้าง"


        เด็กก็บอกว่า "พระของผมยังมีอยูพวงหนึ่ง" แม่ถามว่า "พระของลูกมีอยู่กี่องค์" เด็กบอกว่า "พระของผมมีอยู่ สามองค์ เป็นพระเครื่องนางพญา" คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนแอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน ว่าจริงไหมที่เขาพูด เมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง คราวนี้มีผู้ถามว่า "ก่อนที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น ครูทำอะไรบ้าง พอจะนึกออกไหม" ด.ช.ชนัย บอกว่า "เช้าขึ้นวันนั้นผมก็ซักผ้าก่อน และผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ไปอาบน้ำเสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วก็แต่งตัวถีบจักรยานไปโรงเรียน วันนั้นผมลืมพระไว้ ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปเลย ถ้าผมไม่ลืมเอาไปด้วย เมื่อถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ"

        พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า "ปืนอะไรที่ลูกมี" เด็กก็ตอบว่า "ก็ปืนสั้น ปืนยาวอย่างละกระบอก" พ่อแม่และเมียต่างก็รับจริง ตอนนั้นทั้งพ่อแม่และเมียและญาติต่างก็เช็ดน้ำตาบางคนก็ก้มหน้าสะอึกสะอื้น ญาติที่สนใจถามว่า "ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิดคงจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิงได้ดี ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน" เด็กตอบว่า "เขายิงเวลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน" แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า "เมื่อครูตายแล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน" เด็กตอบว่า "เขาก็เอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซิ"

        ต่อจากนั้นแม่เขาก็ไปหยิบเข็มขัดที่เป็นช่องสำหรับใส่ลูกกระสุนปืนคาดเอว 5 - 6 สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า เข็มขัดกระสุนเหล่านี้ "หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา ถ้าหยิบไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่" ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดจำไม่ได้ และกลัวเขาจะว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา ทำให้คิดวุ่นวาย ใจเต้น คอยจ้องตาดูว่าเด็กจะหยิบถูกหรือผิด เป็นการตัดสินครั้งใหญ่ แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ได้ชักช้าเสียเวลาหยิบเข็มชัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนปืนเสียบอยู่ 3 ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า "แม่ เข็มขัดลูกปืนเส้นนี้เป็นของฉัน"

        เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ และพวกญาติที่นั่นก็ร้องไห้ตามไปด้วยหลายคน ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นกุกกักอยู่นั้นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั้วท้อง เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่ แล้วแม่เขาก็คร่ำครวญว่า "พุทโธ่..เอ๋ย..ลูกของแม่ ญาติของเราก็มีถมเถไป ทำไมลูกจึงไม่มาเกิดในสายญาติของเราละลูก ทำไมต้องไปเกิดทางโลกไกลอย่างนี้" ด.ช.ชนัย ได้ตอบว่า "เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่ แล้วแต่ผู้จัดการบันดาลให้เราเกิด เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้ เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหน เราก็ต้องเกิดที่นั่น ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก เราก็ต้องรับโทษ"


        ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูดอย่างเยาะๆ ว่า "เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม" เด็กได้ตอบว่า "ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีกแล้ว" เล่าให้เมียฟังว่า "เขาบังคับทำโทษให้ฉันแก้ผ้าหมดเหลือแต่ตัวเปล่าส่อนจ้อน เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่ เขาให้ฉันเดินลัดบุกฝ่าป่าดงบัวเหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก ฉันได้รับความลำบากมาก กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้ เมื่อพ้นแล้วเขาก็ให้ใส่เสื้อผ้า มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สองข้าง พาฉันให้เดินมาพักหนึ่งแล้ว เขาก็บอกว่า ให้ไปเกิดได้ เขาส่งได้แค่นี้ ฉันก็มาเกิด แล้วฉันก็หมดความรู้สึก"

        คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์ ได้สัมภาษณ์ ด.ช.ชนัย มีข้อความบางตอนดังนี้

        คุณประสิทธิ์ : "วันที่หนูก่อนจะถูกยิงนั้น มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ผิดปกติกว่าวันธรรมดา"

        ด.ช.ชนัย : "วันที่ผมตาย ผมลืมไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย ธรรมดาผมไม่เคยลืม ปืนสั้นทีผมเคยพกไม่ได้พก เมื่อ อาบน้ำกินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว คว้าจักรยานถีบออกจากบ้าน เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพก ปืนไปไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย มันคงเก็บเอาไปหมด"

        คุณประสิทธิ์ : "แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูไหม ? แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง ? ใจวูบไปเลยหรือเจ็บ สาหัสก่อนจะตายหรือเหมือนหลับไปเฉยๆ"

        ด.ช.ชนัย : "ไม่หรอกครับ คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะเขายิงผมข้างหลัง ไม่รู้ตัวเวลาตาย รู้สึกวิญญาณผมออก จากร่างแล้ว ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิกๆ เลือดออกทางแผลที่ถูกยิงตรงหัว ไหลนองถนน"

        คุณประสิทธิ์ : "เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วล่องลอยไปอยู่ที่ไหน ? พบปะอะไรบ้าง ? หนูยังจำได้ไหม ? ก่อนจะกลับ มาเกิดใหม่ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง"

        ด.ช.ชนัย : "วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ วนเวียนไปหลายแห่ง จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้ ผมลืมไปหมดแล้ว ครับ"


        จากการที่ ด.ช.ชนัย อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน วิญญาณได้ออกจากร่างแล้ว ยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นริกริก ๆ เลือดออกทางแผล ที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน นี้ตรงกับการศึกษาค้นค้วาของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เกี่ยวกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไร โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่ เพราะหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ และกระแสคลื่นสมองก็ไม่มี และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีก กลับมีชีวิตต่อไปได้ แล้วได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏและพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น

        นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์ ที่ควรจะกล่าวชื่อ คือ แพทย์หญิงเอลิซาเบธ คืบเลอร์ - รอสส์ (Dr. elisabeth kubler- ross) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่อง ความตายและกำลังตาย (On Death and Dying) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร . เรมอนย์ เอ มูดี (Dr. Raymond A Moody Jr) ท่านผู้นี้เป็น ดร . ทางปรัชญา และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์ จนได้รับ M.D. มหาวิทยาลัย เวอย์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life) ในหนังสือเรื่อง การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Reflection on life After Life) ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี

        ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน มีความรู้ว่าได้ล่องลอย ออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คนที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง กระทำการแก้ไขเพื่อให้ฟื้น บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่างสวยงาม พบเพื่อนฝูงคนที่ได้ตายไปแล้วมาต้อนรับ และชวนอยู่ด้วย บางรายเล่าว่า ความตายเป็นสุขและความหวัง และไม่มีสักรายที่จะกลัวว่าจะตายอีก นอกจากสองท่านนี้ยังมีอีกท่านหนึ่ง ชื่อ คาร์ลิส โอซีส (karlis osis) เป็นนักจิตวิทยา สมาชิกของชมรมค้นคว้าทางจิตของอเมริกาในกรุงนิวยอร์ค ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนัก ที่ กำลังจะสิ้นชีวิต คนป่วยเหล่านี้มากต่อมากที่เล่า มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป

        ทั้งนี้ตรงกับของเราที่ว่ามี "ยมฑูต" มาคอยรับเอาวิญญาณไป นี่เฉพาะผู้ที่จะสิ้นชีวิตโดยสิ้นอายุขัย ไม่เกี่วยผู้ที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย เช่น พวกตายโหงอย่าง "ครูบัวไข หล่อนาค" เป็นต้น ทางพุทธศาสนาเราก็กล่าวว่า เมื่อสิ้นใจเกิดใหม่ทันที เป็นโอปาติกะ ซึ่งจะไปสู่อบายภูมิ หรือสวรรค์ภูมิขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ได้สร้างไว้ การจำอดีตชาติได้ของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นับว่าเป็นการพิสูจน์เรื่อง "การเวียนว่ายตายเกิด" ค่อนข้างจะสมบูรณ์ดีมากเพราะได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งด้วยกัน คือ

        ๑)จากปากคำของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เอง

        ๒ ) จาก นางพรม เบ็ญทอง ยายของเด็ก

        ๓ ) จาก นายเขียน และ นางยวง หล่อนาค พ่อและแม่ของเด็กในชาติก่อน

        ๔ ) จาก น.ส.บรรจง(ติ๋ม) และ น.ส.เบ็ญจา(ต๋อย) หล่อนาค บุตรสาวฝาแฝดของครูบัวไข

        ๕ ) จากทรัพย์สินของใช้ของครูบัวไข หลายอย่าง ซึ่ง ด.ช.ชนัย จำได้อย่างแม่นยำ

        ๖ ) จากแผลเป็นที่ถูกยิงตายจากท้ายทอย ทะลุออกทางหน้าผาก ซึ่งติดตัว ด.ช.ชนัย ในปัจจุบันนี้


        เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ นายชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นอยู่ในความสนใจของผู้คนมาอย่างยาวนานนับตั้งแตปี พ.ศ.2514 เมื่อเขาเริ่มพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ ขณะที่เขาอายุได้เพียง 3 ขวบ จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 รายการ ตีสิบ ได้เชิญ คุณชนัย ชูมาลัยวงศ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น ครูบัวไข หล่อนาค สืบชาติมาเกิด พร้อมทั้งบุตรสาวฝาแฝด คือ นางบรรจง(ติ๋ม) นางเบญจา(ต๋อย) และบุตรอีก 3 คนของ ครูบัวไข คือ นายณรงค์ นายบุญเทียม และน.ส.น้ำค้าง มาร่วมรายการด้วย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้เขียนกำลังจะนำเรื่องราวของเขาอัพโหลดขึ้นมาสู่หน้าเว็บเพจหน้านี้พอดี จึงได้ภาพจากรายการตีสิบมาประกอบด้วย

คลิปวีดีโอรายการตีสิบ

คลิป 1

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

คลิป 2

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

คลิปวีดีโอรายการสืบ 1000 เรื่อง

คลิป 1-3

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

คลิป 1-4

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

คลิป 1

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

คลิป 2

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

        ในรายการ คุณชนัย ได้แสดงให้เห็นว่าเขายังจำเรื่องราวในอดีตชาติได้อยู่ เขาได้เล่าถึงชีวิตหลังความตายตอนหนึ่งว่าหลังจากเสียชีวิต เขาได้ถูกคนรูปร่างสูงใหญ่พาเดินไปตามทาง จนไปถึงทางสองแพ่งเขาก็เลือกที่จะไปในทางที่เป็นป่ารก จนกระทั่งมาถึงสถานที่หนึ่งมีน้ำขังอยู่เป็นแอ่งกระทะ ผู้คนที่เดินผ่านไปบริเวณนั้นส่วนใหญ่ก็จะตักดื่มกัน แต่ตัวเขาไม่ได้ดื่มน้ำนั้น (ซึ่งเขาเชื่อว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขายังสามารถจำอดีตชาติได้ไม่ลืม) ต่อมาเขาถูกบังคับให้ขึ้นต้นไม้สีดำมีหนามด้านล่างมีคนร่างใหญ่คอยเอาหอกแหมคอยแทง ข้างบนก็มีอีกาคอยจิก เขาถูกอีกาจิกที่ลูกตา

        ซึ่งคล้ายกับตอนที่เขาเป็นครูบัวไขแล้วถูกยิงกระสุนถูกที่ท้ายทอยทะลุหน้าผากทำให้ตาข้างซ้ายถลนออกมานอกเบ้า เมื่อตายแล้วยังมาถูกนกกาจิกที่ตาอีก และที่สำคัญเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของครูบัวไข คุณชนัยจะรู้สึกเจ็บตาข้างซ้ายอยู่เป็นประจำทุกปี และเขาจะเจ็บตาข้างซ้ายเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ ซึ่งก่อนที่จะมาเล่าเรื่องราวในอดีตชาติให้ฟังในรายการนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บตาข้างซ้ายเช่นกัน คุณชนัยเชื่อว่าการที่วิญญาณของครูบัวไขถูกลงโทษให้ปีนต้นไม้มีหนามคงเป็นเพราะเวรกรรมที่ครูบัวไขมีเมียหลายคน และทีต้องถูกกระทำกับดวงตาข้างซ้ายก็คงเป็นเพราะเวรกรรมที่เคยทำไว้

        คุณชนัย เล่าถึงความผูกพันที่มีต่อครอบครัวในอดีตชาติว่ารู้สึกผูกพันตลอดมา ส่วนทางฝั่งของบุตรสาวฝาแฝดทั้งสองคนของครูบัวไขก็มีความรู้สึกผูกพันกับคุณชนัยด้วยเช่นกัน โดยยังคงเรียกคุณชนัยซึ่งมีอายุน้อยกว่าว่า "พ่อ" ได้อย่างสนิทใจ และทั้งสองคนได้เล่าถึงความห่วงใยของผู้เป็นพ่อว่า แม้จะเกิดมาในชาติใหม่นี้ก็ยังเป็นห่วงเมื่อตอนเด็กๆ ด.ช.ชนัย มักจะนั่งรถโดยสารมาหาที่บ้านและจะซื้อต้นอ้อยที่พวกเธอชอบมาฝากเสมอ สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ คุณชนัย ชูมาลัยวงศ์ นี้ได้ถูกเขียนขึ้นเป็นหนังสือออกจำหน่ายแล้วชื่อหนังสือว่า "เมื่อผมระลึกชาติได้" ลองไปติดตามหาอ่านกันดูนะครับ...

   ภาพจากหนังสือ Where Reincarnation and Biology Intersect เขียนจากรายงานการศึกษาวิจัยโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน

คลิ๊กเพื่ออ่านหนังสือ Where Reincarnation and Biology Intersect ฉบับ Doc ที่นี่ครับ


ข้อมูลและภาพจาก เว็บมาสเตอร์ : ธวัชชัย ขำชะยันจะ

บทความที่คุณอาจสนใจ